เกิดวิกฤติ!! ฝุ่น PM 2.5 "กาญจนบุรี" พุ่งเกินค่ามาตรฐานสูงถึง 163 ไมโครกรัม พบหิมะดำปลิวเกลื่อน ผลพวงจากการ "เผาอ้อย"
18 ม.ค. 2563, 08:11
วันที่ 17 ม.ค. 63 ผู้สื่อข่าว ONBnews รายงานว่า กลุ่มควันดำและเศษขี้เถ้าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณพื้นที่หมู่ 4 ตำบลอุโลกสี่หมื่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการจุดไฟเผาไร่อ้อย กลายเป็นหิมะสีดำปกคลุมไปทั่วพื้นที่ สร้างความสกปรกให้กับบ้านเรือน และยังสร้างมลภาวะให้กับชาวบ้านที่ต้องทนเดือดร้อนกับอาการแสบตา แสบจมูก และขี้เถ้ายังลอยมาตกอยู่ในบริเวณบ้านเรือน ส่งผลกระทบต่อใช้ชีวิตประจำวันของชาวบ้านอย่างหนักในช่วงนี้
โดยนายกรณรงค์ แสงมาลา ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า “ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการเผาไร่อ้อยเป็นประจำทุกปี ส่วนใหญ่ก็มีทั้งคนที่ตั้งใจจุดไฟเผาเพื่อให้ง่ายในการตัดอ้อย แต่บางส่วนก็ถูกลักลอบเผาโดยผู้ไม่หวังดี แม้ทางจังหวัดจะออกนโยบายห้ามเผาไร่อ้อยและเอาผิดกับผู้ที่เผาแล้ว แต่ก็ยังมีการลักลอบเผาเช่นนี้อยู่เป็นประจำ”
ขณะที่ในโลกออนไลน์ได้มีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเผาอ้อย นำภาพมาโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กกลุ่ม คนเมืองกาญจน์ 2 เป็นภาพของเศษขี้เถ้าที่ลอยมาตกตามบ้านเรือน และรถที่จอดอยู่ ในพื้นที่อำเภอบ่อพลอย และพื้นที่อำเภอต่างๆ โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์ต่อๆ ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่แสดงความคิดเห็นว่า บริเวณนี้เรียกว่าเป็นขาประจำ อยู่ห่างจากสถานีตำรวจไม่มาก ซึ่งการเผาไร่อ้อยตรงนั้นทำให้ผ้าที่ชาวบ้านตากไว้ ดำหมดยกตะกร้า คนแถวนี้เคยชินกับการเผาอ้อยแล้ว แต่บางคนบอกว่าไม่ทน ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ พร้อมทิ้งท้ายว่า เผาอ้อยเดือดร้อนมาก
บางคนบอกว่า เพิ่งไปเที่ยวที่กาญจนบุรี ไปนั่งดื่มกาแฟแถววัดถ้ำเสือ อ.ท่าม่วง ปรากฏว่า มีควันดำลอยมาเต็มไปหมด จนต้องรีบขับรถหนี และเห็นว่าไร่อ้อยอีกแปลกหนึ่งก็กำลังจุดไฟเผาพอดี ปัญหาดังกล่าวได้มีการสอบถามเรื่องการเผาอ้อยทราบว่าหากไม่เผาอ้อยจะไม่มีคนงานไปตัดอ้อยให้ จึงต้องมีการเผาก่อน โดยแต่ละแห่งไม่สามารถดำเนินการกับทางเจ้าของไร่อ้อยเหล่านั้นได้แม้แต่รายเดียว ทั้งๆ ที่ทางจังหวัดได้มีการประชุมห้ามเผาอ้อย เผานาข้าวมาตลอดก็ตาม และไร่อ้อยส่วนใหญ่ก็จะเป็นของผู้นำท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
ส่วนอีกหลายพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรีก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ขณะที่บางคนบอกว่า อีกประเทศหนึ่งพยายามจะดับไฟ แต่บ้านเรากลับมีคนเผานาข้าว และไร่อ้อยจนเกิดปัญหา นอกจากนี้บางคนสุดทนกับปัญหา โดยได้โพสต์เชิญชวนให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากการเผาอ้อยมารวมตัวกันไปยืนหนังสือต่อจังหวัดเพื่อให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องจากปัจจุบันได้รับความเดือดร้อนหนักมากขึ้นทุกวัน
สำหรับคุณภาพอากาศค่ามาตรฐาน PM 2.5 ต้องไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์ (ลบ.) เมตร แต่ปรากฏว่า การตรวจวัดคุณภาพอากาศจากเครื่องวัดฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากเครื่องตรวจวัดที่ ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ พบว่า คุณภาพอากาศในพื้นที่ อ.เมืองกาญจนบุรี ล่าสุดตรวจวัดค่า PM 2.5 สูงถึง 163 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร
ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมาตรการขอความร่วมมือ ด้านการบริหารจัดการเพื่อเก็บเกี่ยวและการขนส่งอ้อยให้โรงงาน โดยให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นต้นแบบการจัดการพื้นที่ลดการเผาอ้อยรอบชุมชนในรัศมี 5 กิโลเมตร และรอบโรงงานน้ำตาลในรัศมี 10 กิโลเมตร รวมถึงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” โดยมีกรอบแนวคิดใช้หลักการเชิงรุกที่เน้นการป้องกันผลกระทบล่วงหน้า
นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จึงได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่และมาตรการควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณภาพอากาศอากาศในจังหวัดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำนวนวันที่ปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น จำนวนจุดความร้อนลดลงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมทั้งเพื่อดำเนินงานขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ดังนี้
1.กำหนดให้พื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร รอบเขตที่ดินประเภทชุมชน (พื้นที่สีชมพู) ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ.2560 เป็นเขตควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สำหรับอำเภอห้วยกระเจากำหนดให้รัศมี 5 กิโลเมตร รอบเขตเทศบาลตำบลห้วยกระเจา เป็นเขตควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก
2.กำหนดให้พื้นที่เขตรัศมี 10 กิโลเมตร โดยวัดจากจุดศูนย์กลางที่ตั้งบริษัท โรงงานน้ำตาล นิวกรุงไทย จำกัด อำเภอบ่อพลอย และ บริษัทน้ำตาลราชบุรี จำกัด (โรงงานน้ำตาลเมืองกาญจน์) อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเขตควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
3.กำหนดให้พื้นที่ในเขตรัศมี 20 กิโลเมตร โดยวัดจากจุดศูนย์กลางที่ตั้งบริษัท น้ำตาลท่ามะกา จำกัด อำเภอท่ามะกา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ปลูกอ้อยของ 6 โรงงานน้ำตาล ได้แก่ บริษัท น้ำตาลท่ามะกา จำกัด บริษัท อุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด บริษัท น้ำตาลไทยกาญจนบุรี จำกัด บริษัท ไทยอุตสาหกรรมน้ำตาล จำกัด บริษัท ประจวบอุตสาหกรรม จำกัด และ บริษัท ไทยเพิ่มพูนอุตสาหกรรม จำกัด เป็นเขตควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
สำหรับมาตรการควบคุมผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สำหรับพื้นที่เขตควบคุมฯขอให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย งดการเผาอ้อยอย่างเด็ดขาด และเตรียมความพร้อมในการเตรียมแปลงปลูกอ้อยเพื่อรองรับเครื่องจักรสำหรับเก็บเกี่ยวอ้อย
ส่วนพื้นที่นอกเขตควบคุมฯ ขอความร่วมมือให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย ให้งดเผาอ้อย เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่นละออง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยต่อเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และกรณีเกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องรื้อตอเพื่อปลูกอ้อยใหม่ ให้เตรียมแปลงปลูกอ้อยใหม่ เพื่อรองรับกับเครื่องจักรเก็บเกี่ยวอ้อย
และในฤดูการเก็บเกี่ยวอ้อย ปี 2562/2563 ให้โรงงานน้ำตาลทั้ง 8 แห่ง ดำเนินการจัดทำแผนการตัดอ้อยสด แผนงานในการสนับสนุนรถตัดอ้อยรวมถึงสนับสนุนวิธีการตัดอ้อยสดทุกรูปแบบ ภายในรัศมี 10 และ 20 กิโลเมตร เพื่อใช้ในการตรวจติดตามให้เป็นไปตามแผนงานที่ทางโรงงานน้ำตาลเสนอไว้
ทั้งนี้มอบหมายให้ส่วนราชการทุกแห่ง อำเภอทุกอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งบังคับใช้กฎหมาย เพื่อควบคุมเฝ้าระวัง และป้องกันเหตุ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ร่วมสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยสามารถแจ้งเหตุและร้องทุกข์ ได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกาญจนบุรี โทรศัพท์สายด่วน 1567 หรือ 034-533778 สำหรับในระดับอำเภอแจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุกอำเภอ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสาเหตุที่ทำให้คุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีในหลายอำเภอ พุ่งสูงขึ้นแบบพรวดพราดในครั้งนี้ มีปัจจัยหลักมาจากการเผาไร่อ้อย ซึ่งไม่เพียงทำให้หมอกควันฟุ้งกระจายเท่านั้น ยังทำให้เกิดฝุ่นละอองโดยเฉพาะหิมะดำปลิวลอยกระจายไปตามลม กระทั่งไปตกใส่บ้านเรือนราษฎรและในเขตชุมชนต่างๆ จนส่งให้ได้รับความเดือดร้อน ขณะเดียวกันมีการร้องเรียนแจ้งให้ทางอำเภอและจังหวัดกาญจนบุรีเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ที่ผ่านมานอกจากจะไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควรแล้ว ปรากฏว่า ยังมีเกษตรกรผลัดเปลี่ยนกันเผาไร่อ้อยกันต่อเนื่องทุกวันอีกด้วย
ส่วนนายแพทย์ สมาน ฟูตระกุล ผู้อำนวยการสำนักป้องกันควบคุมโรคที่ 5 จังหวัดราชบุรี กล่าวว่าสภาพอากาศที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กเกิดขึ้นในช่วงนี้ มาจากหลายสาเหตุ เช่น การจารจร โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง เป็นต้น ซึ่งสภาพอากาศลักษณะนี้ กลุ่มเสี่ยงที่น่าเป็นห่วง คือ ประชาชนที่ป่วยด้วย 4 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ 1.โรคระบบทางเดินหายใจ 2.โรคหัวใจและหลอดเลือด 3.โรคเยื่อบุตาอักเสบ และ 4. กลุ่มโรคผิวหนัง รวมถึงผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดการกำเริบได้ง่ายจากการสูดดมฝุ่นขนาดเล็ก
และแนะวิธีการดูแลและป้องกันสุขภาพเมื่อเกิดฝุ่นขนาดเล็ก ดังนี้ 1.ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง 2.อาคารบ้านเรือน ให้ปิดประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน เพื่อเป็นตัวกันฝุ่นไม่ให้เข้าบ้าน 3.หากจำเป็นต้องออกนอนกอาคาร ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ ปิดจมูกและปาก ถ้าอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหนาแน่นให้ใช้หน้ากากกรองฝุ่น หรือหาผ้าเปียกมาปิดจมูก 4.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและการทำงานหนักที่ออกแรงมาก เพราะในการหายใจเร็วในระหว่างการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกานรับฝุ่นละอองเข้าไปมาก 5.ให้ดื่มน้ำมากๆ และไม่สูบบุหรี่ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 6.ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กจะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ในการรับประทานยา การเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง รีบปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการทรุดลง และหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับอากาศที่มีฝุ่นละออง หรือมีการใช้หน้ากากกันฝุ่น 7.ไม่เผาขยะ โดยเฉพาะขยะที่เป็นสารพิษ เช่นพลาสติกยางรถยนต์รวมทั้งขยะทั่วไป และ 8.ลดการใช้รถยนต์ หรือใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ก่อปัญหาซ้ำเติม หรือทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงอีก./