เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"รพ.ศิริราช" ร่วมวิจัยวัคซีนไขว้ในไทย ผลการศึกษาตปท. ชี้! มีแนวโน้มภูมิคุ้มกันดีขึ้น - ปลอดภัยดี


13 ก.ค. 2564, 13:36



"รพ.ศิริราช" ร่วมวิจัยวัคซีนไขว้ในไทย ผลการศึกษาตปท. ชี้! มีแนวโน้มภูมิคุ้มกันดีขึ้น - ปลอดภัยดี




เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง ประเด็นบุคลากรแพทย์ฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วยังติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตว่า ต้องดูปัจจัยยอดการฉีดวัคซีน อย่างเช่นเดือน มิ.ย. กรณีอินโดนีเซีย รายงานว่า มีคนฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อประมาณ 300 กว่าราย แต่เมื่อดูข้อมูลทั้งหมด พบว่า อินโดนีเซียมีแพทย์เสียชีวิตเพราะโควิด-19 กว่า 401 ราย แต่มี 14 รายเท่านั้น ที่ฉีดวัคซีนครบตามกำหนด แสดงว่าอีก 300 กว่า รายยังไม่ได้รับวัคซีนหรือยังฉีดไม่ครบ ดังนั้น ข้อมูลที่เรามีวัคซีนลดอัตราเสียชีวิต แต่อาจไม่ดีเท่าการศึกษาในคนระยะที่ 3 ที่เป็นการศึกษากับไวรัสสายพันธุ์ดังเดิม ที่ลดอัตรเสียชีวิตได้เกือบ 100% แต่ระยะหลังพบว่าวัคซีนแต่ละตัวลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตเหลือประมาณ 90%

ถ้าหากดูบุคลากรการแพทย์ทั้งหมดที่ฉีดวัคซีนกว่า 700,000 คน ต้องดูว่ามีคนที่ติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง มีเสียชีวิตกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วนำมาเทียบกับคนทั่วไปที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ต้องเอาตัวเลขเหล่านี้มาดู อย่าดูเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง หรือดูเฉพาะข้อมูลย้อนหลัง เพราะขณะนั้นเกิดคนละสายพันธุ์กัน มีข้อมูลหลายอย่างในไทยที่พูดกันแต่ตอนนั้นยังไม่มีสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ฉะนั้น ตอนนี้ต้องเฝ้าติดตามดู และตามนโยบายคือ ลดความเสี่ยงให้บุคลากรแพทย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการติดเชื้อขึ้น ต้องย้ำในข้อมูลว่าอัตราเสียชีวิตของประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ขึ้นกับไวรัสอย่างเดียว แต่หากติดเชื้อเกินศักยภาพระบบบริการสุขภาพเมื่อไหร่อัตราเสียชีวิตก็เยอะ



บุคลากรด้านสุขภาพก็เป็นหนึ่งในระบบบริการสุขภาพ หากคนป่วยเยอะ และบุคลากรด้านสุขภาพติดเชื้อ หรือต้องกักตัว คนดูแลก็จะน้อยลง เรื่องนี้สำคัญ เราก็ไม่อยากเสี่ยง เราจึงต้องเร่งฉีดเข็มที่ 3 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน และลดอัตราความรุนแรงให้มากขึ้นไปอีก และเริ่มมีข้อมูลว่าเดลต้าจะเพิ่มความรุนแรงด้วย ดังนั้น ต้องเร่งบริหารจัดการวัคซีน ฉีดให้เยอะและเร็ว

ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ข้อมูลในสหรัฐอเมริกา พบว่า บริษัทไฟเซอร์ออกมารณรงค์กับรัฐบาลว่าอยากให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ปรากฎว่าหลังจากที่รัฐบาลดูข้อมูลแล้ว ก็ยังไม่ให้มีการฉีดเข็ม3 เพราะคนในประเทศอีก 40 กว่าล้านคนยังไม่ได้รับเข็มแรก หลักการเดียวกันในไทย ตนมีความเห็นว่าต้องบริหารจัดการ 2 อย่างนี้คู่ขนานกันไป เพราะบุคลากรในระบบบริการสุขภาพที่มีความเสี่ยง ก็มีความจำเป็นเพราะมีความเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก

ส่วนจะใช้วัคซีนคู่ผสมใด ก็ต้องดู 1.ข้อมูลวิชาการ 2.ในสต๊อกวัคซีนเรามีตัวไหนที่จัดการได้มากน้อยแค่ไหน แต่วัคซีนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะ 3 องค์ประกอบที่คู่กันคือ วัคซีน มาตรการการปกครอง และมาตรการสังคมก็ต้องทำ เราทำอย่างเดียวหนึ่งไม่มีทางสำเร็จ เช่นเราฉีดวัคซีนแต่คนไปที่ไหนก็ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ และตอนนี้เราก็เริ่มดำเนินมาตรการ 3 อย่างแล้ว และพบว่าข้อมูลคนไทยการ์ดยังดีอยู่ แต่การฉีดวัคซีนต้องบริหารให้เร็ว ฉีดให้ทัน และผมเห็นด้วยตั้งแต่ต้นกับการมีวัคซีนทางเลือก เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีวัคซีนเข้ามาเติมให้เร็วและทันกับเวลา


เมื่อถามกรณีบุคลากรทางการแพทย์ อยากบูสเตอร์โดสด้วยวัคซีนทางเลือก ทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นา จำเป็นหรือไม่ นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูข้อมูลทางวิชาการพิจารณา หากพูดถึงเข็ม 3 ก็ต้องมุ่งเป้าไปที่วัคซีนที่กระตุ้นทีเซลล์(T cell) หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งตอนนี้กลุ่มวัคซีนชนิดไวรัลแวกเตอร์ทำงานได้ดีมาก และชนิด mRNA ก็กระตุ้นดีเช่นกัน ประสิทธิภาพใกล้เคียง ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก ซึ่งขณะนี้เรากำลังจะมีไฟเซอร์ และภาคเอกชนจะมีโมเดอร์นา ขณะเดียวกันเราก็มีแอสตร้าเซนเนก้า จริงๆ ไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรอก ขอให้อยู่ในกลุ่มพวกนี้ อันนี้เฉพาะการฉีดกระตุ้นของเข็มที่ 3 เท่านั้น

สำหรับการศึกษาวัคซีนไขว้แบบชนิดเชื้อตาย กับชนิด mRNA แต่ละประเทศก็จะจับ 2 จุดว่า เมื่อไขว้แล้วประสิทธิภาพดีหรือไม่ และปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มออกมาแนวเดียวกัน คือ มีแนวโน้มระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นและปลอดภัย ข้อมูลตอนนี้มีเท่านี้ โดยการศึกษาเป็นหลัก 100 คน บางงานไม่ถึงด้วยซ้ำ โดยรวมจึงเป็นเหตุผลที่องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศรับรองให้ไขว้ อยู่ที่ประเทศพิจารณาความจำเป็นและข้อมูลที่มีอยู่

ขณะนี้เรามีการศึกษาอย่างน้อย 4 โรงเรียนแพทย์ ทำงานวิจัยเรื่องนี้อยู่ รพ.ศิริราช ก็ไขว้กันหลายคู่ อยู่ๆ เราจะไม่แนะนำเลย หากไม่มีงานวิจัยรองรับ เพราะไม่เหมาะสม ตอนนี้ตอบก่อนงานวิจัยไม่ได้ แต่หากผลออกมาคล้ายคลึงกัน เหมือนกับในต่างประเทศ อันนี้ก็จะมารองรับกับนโยบายการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีการประกาศออกไป ซึ่งผลวิจัยดังกล่าวก็จะออกมาเร็วๆ นี้






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.