เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



ศบค. เคาะปรับโซนสีโควิด ลดพื้นที่สีส้ม เพิ่มพื้นที่สีเหลือง เริ่ม 24 ม.ค.นี้ นั่งดื่มได้ถึง 5 ทุ่ม


20 ม.ค. 2565, 13:26



ศบค. เคาะปรับโซนสีโควิด ลดพื้นที่สีส้ม เพิ่มพื้นที่สีเหลือง เริ่ม 24 ม.ค.นี้ นั่งดื่มได้ถึง 5 ทุ่ม




เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 20 มกราคม 2565 การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยที่ประชุมจะมีการพิจารณาปรับระดับสีของพื้นที่ พร้อมผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในประเทศ และพิจารณามาตรการเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบ Test&Go 

โดยสรุปผลการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ที่มีการพิจารณาในที่ประชุม มีดังนี้

1. การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ด้วยหลักการและเหตุผลว่า การระบาดมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่และผู้ป่วยหนักคงที่ ผู้เสียชีวิตจำนวนลดลง มีบางจังหวัดที่ยังต้องจับตาใกล้ชิด โดยเฉพาะจังหวัดนำร่องการท่องเที่ยว ที่ยังพบการติดเชื้อในร้านอาหาร การรวมกลุ่มคนในงานประเพณีต่างๆ
2. การครอบคลุมวัคซีนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้รับเข็มที่ 1 มากกว่า 75% และเข็ม 2 มากกว่า 70%
3. การกระจายของเชื้อโอไมครอน ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง
4. การดำเนินตามมาตรการทำให้สถานการณ์เป็นไปตามคาดการณ์และมีแนวโน้มดีขึ้น



ล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น.ที่ผ่านมา นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันนี้ โดยมติที่ประชุมเห็นชอบปรับโซนสีโควิดล่าสุด หรือ ปรับพื้นที่มาตรการควบคุมการระบาด
1. ลดพื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม จาก 69 จังหวัด เหลือ 44 จังหวัด
2. เพิ่มพื้นที่เฝ้าระวังจาก 0 จังหวัด เป็น 25 จังหวัด 
3. ส่วนพื้นที่สีฟ้า หรือพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ยังคง 8 จังหวัดเช่นเดิม 

โดยที่ระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (24 มกราคม 2565)  

พื้นที่ควบคุม 44 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชุมพร จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตรัง จังหวัดตราด จังหวัดตาก จังหวัดนครนายก จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดน่าน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพะเยา จังหวัดพัทลุง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดระนอง จังหวัดระยอง จังหวัดราชบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดหนองคาย  จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี

พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด 25 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยนาท จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครพนม จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดปัตตานี จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดแพร่ จังหวัดยะลา จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอ่างทอง จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดอุทัยธานี

พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 8 จังหวัด ได่แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดกระบี่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต (จังหวัดอื่นดำเนินการบางพื้นที่) โดยที่พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ใช้มาตรการเช่นเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง


ทั้งนี้โฆษก ศบค. เผยอีกว่า มีมติให้ขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นครั้งที่ 16 ระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2565 

โดยจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ที่ผ่านมา พบการระบาดในร้านอาหารที่มีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงหลังปีใหม่จำนวนมาก และจากการมีมาตรการจำกัดเวลาในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำให้การระบาดเป็นกลุ่มก้อนในร้านอาหารเริ่มลดลง ประกอบกับ มีการแจ้งจากผู้ประกอบการขอการขยายเวลา บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้น ควรปรับมาตรการสำหรับการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแลกอฮอล์ในร้านอาหาร หรือสถานที่ที่มีลักษณะเดียวกัน ทั้งในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ดังนี้
1. จำกัดเวลาในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 23.00 น. (ปรับจากเดิม 21.00 น.)
2.  การจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus เท่านั้น และตามมาตรการ COVID Free Setting






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.